สวนคุณตา



สวนคุณตา


แสงแดดยามเช้าส่องรอดต้นสักสูง ต้นจามจุรีและต้นไผ่มากระทบหน้าต่างรถ ท่ามกลางภูเขาสูงหมอกสีขาวทอประกายแสงแดดออกเป็นเจ็ดสีสันพร้อมหอบความหนาวเย็นและแห้งแล้งตามมา เด็กชายอายุสิบห้าปีผู้ที่กำลังนั่งห่อตัวอยู่หลังเบาะรถ และกำลังคิดถึงอนาคตอันใกล้กับปิดเทอมฤดูร้อนที่เขากำลังจะเผชิญ   ต้นกล้า  ขยับเสื้อกันหนาวให้กระชับขึ้น นานแล้วแค่ไหนแล้วนะ เขาคิด...นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้เจออากาศและธรรมชาติที่แสนสดชื่นและงดงามเช่นนี้ ที่สำคัญนานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้เจอตา เขาชอบการมาเที่ยวบ้านตาเสมอ รถยนต์ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆรอบข้างเปลี่ยนจากผาหินที่เต็มไปด้วยดอกบัวตองสีเหลืองไปเป็นทิวทัศน์สวนส้มและไร่สตรอเบอร์รี่ รถยนต์ไต่ขึ้นเนินอีกครั้งและหยุดหน้าบ้านบ้านไร่สองชั้นขนาดปานกลาง ตัวบ้านรอบๆปลูกต้นไม้และพืชพันธุ์หลากชนิดและสีสัน ทั้งดาวเรือง บานชื่น หงอนไก่ และดอกไม้เมืองหนาวอื่นๆ รอบสนามหญ้าหน้าบ้านมีแปลงปลูกผักสวนครัวซึ่งเต็มไปด้วยผักพื้นบ้านเช่นผักกาด พริก มะเขือ บวบ ถัดมาเป็นโรงรถ โรงเพาะเห็ด บ้านเลี้ยงเป็ดไก่มีลุงแก่คนหนึ่งกำลังให้อาหารไก่อยู่ ถัดไปไกลๆเป็นสระน้ำ สวนส้ม สวนสตรอเบอร์รี่ ไร่ข้าวโพด
ผมลงจากรถและเข้าไปไหว้ตา อ้อ...ตาของผมก็คือลุงแก่ๆนั่นเอง หลังจากนอนค้างหนึ่งคืนพ่อกับแม่ของผมก็ลากลับเนื่องจากมีภาระงานที่ยังทำไม่เสร็จพร้อมคำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะของผมว่าผมจะทำตัวดีๆกับตา เมื่อพ่อกับแม่กลับแล้วตาบอกกับผมว่า  เตรียมตัวที่จะพบกับความสนุกหรือยังล่ะ เจ้ากล้า ตาจะพาไปทัวร์สวน” ผมตอบรับอย่างตื่นเต้น ทำไมน่ะหรือ เพราะทุกวันเมืองที่ผมอยู่( กรุงเทพนั่นเอง )แทบจะหาสถานที่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอย่างแท้จริงไม่ได้เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ตึกราบ้านช่องใหญ่โต รถยนต์ที่ติดเต็มถนน หรือไม่สลัมที่ค่อนข้างสกปรก แม้แต่ในสวนสาธารณะก็ยังหนีไม่พ้นมลภาวะต่างๆ  ตาพาผมขึ้นนั่งรถไถ เราแวะชมที่สวนส้มก่อนเพราะอยู่ใกล้ ที่นี่มีส้มหลายสายพันธุ์ได้แก่ ส้มซันคิสต์ ส้มเขียวหวาน ส้มจุก ตาบอกว่ามันมีอายุกว่า 30 ปีแล้วจึงต้องปลูกต้นเล็กๆไว้ข้างกันเผื่อต้องล้ม เราข้ามเนินส้มประมาณ 70 ไร่ ขึ้นมาบนเนินที่สูงที่สุดซึ่งเรียกขานว่า  เนินชี้ฟ้า  เพราะตั้งเข้าหาพระอาทิตย์ทางทิศตะวันออกพอดี ณ จุดนี้เราสามารถมองเห็นพื้นที่ทั้งหมดได้ “ โอ้โห!!” ผมเผลอร้องออกมา “ นี่นะ ต้นกล้า มองพื้นที่ทั้งหมดสิแล้วบอกตาสิว่าหลานเห็นอะไร...”  คราวนี้ผมมองดูดีๆ ผมพบว่าไร่ที่ผมเห็นว่าใหญ่แล้วกลับกว้างใหญ่ขึ้นเป็นสิบเท่า ใช่ว่าสวนทั้งหมดจะเพียงแค่กว้างขวางเท่านั้น มันยังถูกจัดออกเป็นระเบียบแบบแผนอีกด้วย เอ...ผมเหมือนเคยเห็นสัดส่วนแบบนี้ที่ไหนนะ ผมพยายามนึก อาจอยู่ในบทเรียนซักบทมั้ง สุดท้ายตาจึงเฉลย “ ฮ่าฮ่า หลานตาคงนึกไม่ออกล่ะสิ อย่างว่าแหละนะอยู่กรุงเทพพื้นที่น้อย แถมมีประชากรเบียดเสียด คงไม่มีใครทำแบบนี้หรอก หลานเอ๋ยจำให้ดี นี่เขาเรียกว่าการทำ เกษตรทฤษฏีใหม่ นี่น่ะเป็นโครงการพระราชดำริของในหลวงเชียวนะหลาน 


จากนั้นตาก็เริ่มบรรยายถึงประวัติความเป็นมาก่อน ซึ่งผมพอจับใจความได้ว่า ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่อยู่ในเขตร้อนชื้น มีฝนตกค่อนข้างชุก และมีฤดูฝนนานประมาณ 5 – 6 เดือน ในอดีตป่าไม้ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ น้ำฝนส่วนหนึ่งจะถูกดูดซับไว้ในป่าส่วนหนึ่งจะไหลลงสู่ใต้ดิน อีกส่วนหนึ่งจะถูกเก็บกักไว้ตามที่ลุ่ม เช่น ห้วย หนอง คลอง บึง เป็นประโยชน์แก่ชาวบ้านในช่วงฤดูแล้ง ต่อมาระบบนิเวศน์เปลี่ยนไป ป่าไม้ถูกทำลาย ถูกถากถางเพื่อการเกษตรและกิจกรรมต่างๆ แหล่งน้ำตื้นเขินและถูกบุกรุกเข้าถือครองกรรมสิทธิ์ ใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างอาคาร ถนน ทางรถไฟ เมื่อฝนตกลงมา น้ำไหลสู่ที่ต่ำอย่างรวดเร็วเพราะไม่มีที่เก็บกัก แต่เมื่อกระทบสิ่งกีดขวางก็ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันรุนแรง เมื่อน้ำไหลลงทะเลหมดและไม่มีน้ำจากป่ามาเติม แหล่งน้ำธรรมชาติก็แห้ง จึงเกิดความแห้งแล้งและขาดน้ำใช้ เกษตรกรจึงได้รับความเดือดร้อน ผลิตผลเสียหายเป็นประจำและไม่พอเลี้ยงชีพ ต้องอพยพทิ้งถิ่นฐานไปหารายได้ในเมืองใหญ่ๆ และเกิดปัญหาด้านสังคมตามมา พอในหลวงของเราได้เสด็จเยี่ยมประชาชน พระองค์ได้ทรงประสบกับสภาพดิน ฟ้า อากาศ และภูมิประเทศในภูมิภาคต่างๆ และเห็นถึงความทุกข์ยากและปัญหาการดำรงชีวิตของประชาชน จึงทรงมีพระราชดำริริเริ่มโครงการต่างๆ ทรงให้แนวทางสำคัญเมื่อ พ.ศ. 2532 ซึ่งต่อมารู้จักในชื่อ การเกษตร  ทฤษฎีใหม่”  ตาหยุดพักดื่มน้ำจากกระติกซักครู่จากนั้นก็เริ่มเล่าต่อ เกษตรทฤษฎีใหม่สามารถแบ่งได้ 3 ขั้น คือ ขั้นที่ 1) การผลิต ขั้นที่  2) การรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ และขั้นที่ 3) การร่วมมือกับแหล่งเงินและกับแหล่งพลังงาน โดยพูดเปรียบเทียบกับสวนที่บ้านตา ว่าการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ต้องมีพื้นที่อย่างน้อย 15 ไร่ ให้แบ่งพื้นที่ออกเป็นสัดส่วนร้อยละ 30:30:30:10 

                           

      โดย ร้อยละ 30 ส่วนแรก ให้ขุดสระประมาณ 4.5 ไร่ สำหรับเก็บน้ำฝนธรรมชาติซึ่งตาขุดไว้แล้ว  ร้อยละ 30 ใช้ปลูกข้าวเนื้อที่ประมาณ 4.5 ไร่  เพราะข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย ร้อยละ 30 ต่อมาเนื้อที่ 4.5 ไร่ ให้ปลูกพืชสวน ไม้ยืนต้นและพืชไร่อย่างผสมผสาน เช่นที่ตาปลูกก็คือ กล้วย มะม่วง ขนุน ละมุด ส้มเขียวหวาน พวกไม้ยืนต้นก็เป็นกระถิน สะแก ยูคาลิปตัส สะเดา ขี้เหล็ก  และพืชน้ำเช่น ผักกระเฉด บัวสาย ผักกูด และโสน เป็นต้น ต่อมาร้อยละ 10 เป็นที่อยู่อาศัย และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ รวมประมาณ 1.5 ไร่ พื้นที่ส่วนนี้จะรวมคอกสัตว์ เรือนเพาะชำ ฉางเก็บผลิตผลเกษตร และข้างๆบ้านตายังมีแปลง “ ผักสวนครัวรั้วกินได้ ” เช่น พริก กระเพรา โหระพา แมงลัก ตะไคร้ มะกรูด พริกไทย มะนาว เป็นต้น รั้วกินได้ ก็เช่น ตำลึง โสน ถั่วพู มันปู กระถิน มะขามเทศ บวบ ฟักเขียว มะระ ฟักข้าว เป็นต้น ต่อมาก็เลี้ยงสัตว์ ตาผมเลี้ยงหมู ไก่ เป็ด และสัตว์น้ำ เช่น ปลาตะเพียน,สลิด, นิล,ทับทิม โดยไม่เน้นเป็นรายได้หลักแต่เป็นรายได้เสริมและอาหาร สำหรับเทคนิคของการเลี้ยงก็เช่น การสร้างคอกหรือเล้าสัตว์คล่อมบ่อปลา ให้มูลสัตว์เป็นอาหารปลา หรือการขุดบ่อปลาให้มีระดับความลึกต่างๆ กัน เป็นต้น   


     ต่อมาเมื่อการทำเกษตร ทฤษฎีใหม่” ขั้นที่หนึ่งมีเกษตรกรทำเพิ่มมากขึ้น ผ่านไปหลายๆปีผลผลิตและรายได้เพิ่มขึ้น เกษตรกรจึงมีการปรับปรุงตัวเองรวมกลุ่มกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ และร่วมแรงกันในเรื่องต่างๆ โดยติดต่อร่วมมือกับแหล่งเงินทุน (ธนาคาร) และแหล่งพลังงาน (บริษัทน้ำมัน) หรือเอกชน เพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ เช่น ตั้งและบริหารโรงสี ตั้งและบริหารร้านสหกรณ์  ช่วยการลงทุน ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต นอกจากนี้ตายังทำสวนส้มกว่า 600 ไร่และสวนสตรอเบอร์รี่แบบขั้นบันไดประมาณ 400 ไร่อีกด้วยแต่ตาไม่เคยอวดตัวว่าเป็นเสี่ยใหญ่ทำไร่ทำสวนมากมายเลย ครับผมล่ะรู้สึกภูมิใจตาจริงๆ แม้ไม่ได้อยู่ในบ้านที่ใหญ่ และเต็มไปด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ไม่ได้อยู่ใกล้แหล่งความเจริญต่างๆแต่ตาก็ยังมีความสุข กับชีวิตที่ สันโดษ” และความ พอเพียง “ ธรรมชาติให้อะไรเรามามากมายเหลือเกิน” ตาพูด  แต่มนุษย์ยังทำร้ายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตาเองก็แค่ชาวไร่แก่ๆคงไม่มีปัญญาทำอะไรได้มาก จำไว้นะหลาน โครงการในหลวงนี้เป็นการยึดหลักการธรรมชาติมุ่งใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์มากที่สุด และยังรักษาสมดุลของธรรมชาติ สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้ยาวนาน เมื่อหลานโตจงใช้ทรัพยากรทุกอย่างให้เป็นประโยชน์และเผยแพร่โครงการนี้ต่อไปนะหลานนะ  นี่แหละครับตาของผม แม้ไม่ได้จบปริญญาบัณฑิต แต่ท่านคือบัณฑิตที่แท้จริง ท่านเป็นคนดี มีน้ำใจต่อทุกคนส่งผลให้ท่านเป็นที่รักของชาวบ้านและคนในชุมชน นั่นทำให้ผมนึกถึงพุทธสุภาษิตประโยคหนึ่งซึ่งสามารถสรุปความเป็นตาของผมได้ทั้งหมด ครับ… “ บัณฑิตมิใช่เป็นผู้มีเพียงปริญญา แต่คือผู้ที่อุดมด้วย

“ ศีล สมาธิ ปัญญา 














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น